มีคำกล่าวที่พูดกันติดปากว่า"รู้หน้าไม่รู้ใจ" แต่มีโรคผิวหนังที่หมอมีคนไข้มาปรึกษาบ่อยมากโรคหนึ่งคือ
SEBORRHEIC DERMATITISหรือที่คนไข้ได้ยินหมอพูดย่อๆกันบ่อยๆว่า โรคเซบเดิร์ม ซึ่งมีลักษณะเป็นผื่นแดง มีขุย ตำแหน่งที่เกิดโรคเซบเดิร์มนั้น พบบ่อยในตำแหน่งที่มีปริมาณและการทำงานของต่อมไขมันมาก
เช่น ซอกจมูก คิ้ว ไรผม หลังหู หน้าอกและหลัง รวมทั้งมีได้ที่หนังศีรษะเป์นแผ่นขุยขาวคล้ายรังแค ซึ่งหมอเชื่อว่ามีความสัมพันธ์กับสมดุลภายในของร่างกาย ดังนี้
seborrheic dermatitis โรคเซบเดิร์ม: รู้หน้า รู้ใจ บอกสมดุลสุขภาพ |
สาเหตุและกลไกของโรคตามหลักฐานทางแพทย์แผนปัจจุบัน
- ยังไม่เป็นที่ทราบชัดเจนนัก ไม่ใช่ทั้งโรคติดต่อ หรือโรคทางพันธุกรรม
- เชื้อราชื่อ Malassezia เป็นเชื้อราชนิดที่ชอบไขมัน ซึ่งพบได้ปกติบนผิวหนังทั่วไปของเรา โดยจากการศึกษาพบว่า การใช้ยากำจัดเชื้อรา สามารถลดอาการของเซบเดิร์มลงได้ดี เชื้อราชนิดนี้จึงน่าจะมีความสัมพันธ์กับสาเหตุการเกิดเซบเดิร์ม
- สาเหตุหรือปัจจัยอื่นๆ เช่น การระคายเคืองของผิวหนัง อากาศร้อน เย็น หรือแห้ง ความเครียด การพักผ่อนไม่เพียงพอ ความไม่สมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย การรับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วน
- อัตราการเกิดเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาท เช่น โรคพาร์กินสัน หรือผู้ป่วยมีประวัติอุบัติเหตุที่สมอง และมีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เช่น โรคเอดส์
ทฤษฎีความสมดุลและพฤติกรรมการก่อโรคตามแพทย์แผนไทย
แพทย์แผนไทยเชื่อว่าร่างกายมนุษย์ประกอบด้วยธาตุ4 คือ ธาตุดิน, น้ำ, ลมและไฟ เมื่อธาตุใดเสียสมดุลก็จะไปกระทบธาตุอื่นๆและมีอาการแสดงตามมา ผิวหนังเป็นอวัยวะหนึ่งที่อยู่ในธาตุดินถ้ามีความผิดปกติไปก็บ่งบอกถึงว่ามีความเสียสมดุลของธาตุหรืออวัยวะอื่น
พฤติกรรมที่ถือว่าเป็นการก่อโรคในทรรศนะของแพทย์แผนไทยมีอยู่ด้วยกัน 8 ประการ คือ
พฤติกรรมที่ถือว่าเป็นการก่อโรคในทรรศนะของแพทย์แผนไทยมีอยู่ด้วยกัน 8 ประการ คือ
1.อาหาร
การไม่ระวังในการรับประทาน ได้แก่ รับประทานมากเกินไป น้อยเกินไปจนไม่เพียงพอรับประทานไม่ตรงเวลา อาหารไม่ถูกหลักอนามัย ล้วนเป็นเหตุให้ธาตุแปรปรวนได้
2.อิริยาบถ
ถ้าหากอยู่ในท่าทางอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไปหรือไม่ใช้นานๆ
ร่างกายและเส้นเอ็นก็จะเปลี่ยนแปลงและเกิดความผิดปกติไป
3.ความร้อนและความเย็น
4.การอดนอน
อดข้าว อดน้ำ
5.กลั้นอุจจาระ
ปัสสาวะ
6.ทำการเกินกำลัง
การเกินกำลังในที่นี้หมายรวมถึงทั้งทางร่างกายและความคิด
7.ความเศร้าโศกเสียใจ
8.โทสะ
สาเหตุต่างๆ 8 ประการดังกล่าวนี้
แพทย์แผนไทยถือว่าเป็นพฤติกรรมก่อโรคที่ทำให้ธาตุในร่างกายไม่สมดุลและเป็นเหตุให้เจ็บป่วยได้
ผิวหน้าบอกโรคตามหลักทฤษฏีแพทย์แผนจีน
- การแพทย์แผนจีนมองว่า การจะเกิดโรคได้ มี 2 สาเหตุหลัก คือ ภูมิต้านทานต่ำ กับ ปัจจัยการเกิดโรคมีมากเกิน
- ปัจจัยที่ทำให้เสียสมดุลตามแพทย์แผนจีน ได้แก่การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศที่มากเกินไปหรือเฉียบพลัน มีอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่มากเกินหรือน้อยเกิน การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขอนามัย การทำงานตรากตรำ เป็นต้น
- การสังเกตโรคจากใบหน้าถือเป็นขั้นตอนหนึ่งในการรักษาโรคตามแนวทางแพทย์แผนจีน ความสมบูรณสดใสที่แสดงออกมาภายนอกเปรียบเสมือนกระจกสองสะทอนใหทราบถึงสรีระการทํางานหรือ พยาธิสภาพของอวัยวะจาง-ฝู เลือดลมภายใน
- อารมณ์ทุกอารมณ์เป็นความปกติที่เกิดกับปุถุชน แต่ต้องมีไม่มากหรือน้อยเกินไป และไม่นานจน เกินไป เพราะความสุดขั้วของอารมณ์ล้วนกระทบต่อสมดุลของธาตุภายในร่างกาย อารมณ์ทั้ง ๗ กับการเกิดโรค โดยอารมณ์พื้นฐานของมนุษย์ปุถุชนทั้งหลาย ประกอบด้วยอารมณ์ ๗ อย่างด้วยกัน คือ (1)ดีใจ (2)โกรธ (3)วิตก (4)กังวล (5)เศร้า (6)กลัว (7)ตกใจอารมณ์ดีใจ : เกี่ยวข้องกับหัวใจลำไส้เล็กอารมณ์โกรธ : เกี่ยวข้องกับตับ – ถุงน้ำดีอารมณ์วิตก – กังวล : เกี่ยวกับม้าม – กระเพาะอาหารอารมณ์เศร้าโศก – เสียใจ : เกี่ยวกับปอด – ลำไส้ใหญ่อารมณ์กลัว – ตกใจ : เกี่ยวกับไต – กระเพาะปัสสาวะ
- "ปัญหาของระบบหัวใจ"
อาการที่ผิวหน้า จะมีใบหน้าที่หมองคล้ำหรือซีดขาวอาการอื่นๆ มีอาการใจหวิวๆ นอนไม่ค่อยหลับ บางครั้งไม่มีสมาธิชอบหลงลืม"ปัญหาของระบบปอด"อาการที่ผิวหน้า ผิวหน้าจะแห้ง มีริ้วรอย มักแพ้ง่าย และจะเป็นสิวบนใบหน้าอาการอื่นๆ มีอาการตัวเย็น เหงื่อจะออกเยอะ เป็นหวัดบ่อยๆ ทั้งที่ไม่ใช่หน้าฝน"ปัญหาของตับ"อาการที่ผิวหน้า ผิวหน้าหยาบกร้าน บนใบหน้าจะมีสิวฝ้า ใบหน้าจะบวม ตรงบริเวณตามีถุงใต้ตาอาการอื่นๆ มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ บางครั้งท้องเสียง่าย มีกลิ่นปาก รู้สึกเหนื่อยล้า ทำอะไรได้ไม่นานก็จะเมื่อยง่าย รวมทั้งอาจจะปวดฟันโดยไม่ทราบสาเหตุ"ปัญหาของม้ามหรือระบบย่อยอาหาร"อาการที่ผิวหน้า ใบหน้าแดงเป็นฝ้า และหน้าซีดเซียว ฝ้าบนหน้าจะเป็นๆ หายๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ดวงตาก็ไม่ค่อยสดใสอาการอื่นๆ เสียงเบา ปวดประจำเดือน สุขภาพร่างกายจะไม่ค่อยแข็งแรง"ปัญหาของระบบไต"อาการที่ผิวหน้า บริเวณรอบดวงตาจะมีขอบตาคล้ำ ผิวดำหมองคล้ำ หน้าจะเป็นฝ้าดูแล้วเหมือนคนแก่ก่อนวัยอาการอื่นๆ ปวดปัสสาวะบ่อย นอนไม่ค่อยหลับ ปวดหลัง บางครั้งมีเสียงดังในหู ผมร่วง
ตำแหน่งบนใบหน้าที่มีความสัมพันธ์กับอวัยวะภายในตามทฤษฎีแพทย์แผนจีน |
ตามการแพทย์แผนจีนอธิบายกลไกการเกิด seboreheic dermatitis ได้แก่ ความผิดปกติของกระเพาะลำไส้ใหญ่และเลือดคั่ง ลมร้อนเลือดแห้ง ลมชื้น ร้อนชื้น เลือดและหยินพร่อง เลือดแห้ง ซึ่งตรงกับสาเหตุและปัจจัยตามแพทย์แผนปัจจุบัน
การรักษา
การรักษาทางผิวหนังจะให้ยากลุ่มที่ลดการอักเสบของผิวหนัง ซึ่งมีทั้งกลุ่มสเตียรอยด์และกลุ่มอื่น การใช้ยาทาหรือแชมพูที่กำจัดเชื้อราเสริมก็ทำให้การรักษาได้ผลดี
เนื่องจากเซ็บเดิมเป็นโรคเรื้อรัง และมักกลับเป็นซ้ำ จึงควรรีบทายาควบคุมอาการแต่เนิ่นๆ
โดยใช้ยาในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงให้โรคสงบ ถ้าใช้ยาต่อเนื่องระยะยาวอาจเกิดอาการติดยาได้ จากนั้นให้คอยระวังปัจจัยกระตุ้นดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อสาเหตุและกลไกเกิดโรค ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิวหนัง หลีกเลี่ยง ครีม ผลิตภัณฑ์ต่างๆ
ที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เนื่องจากสามารถทำให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังได้
การดูแลรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด
การรักษาด้วยยารักษาทางผิวหนังอย่างเดียว อาจกลับเป็นซ้ำได้บ่อย การปรับสมดุลจากภายในจึงควรทำควบคู่กันไป ดังนี้
1.พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ไม่นอนดึกเกิน4ทุ่ม
2.ออกกำลังสม่ำเสมอ การออกกำลังกายสามารถช่วยเรื่องความเครียดให้ดีขึ้น
3.มีกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด รวมทั้งสมาธิ โยคะที่ช่วยผ่อนคลาย
4.รับประทานอาหารจากธรรมชาติ อาหารที่มีไขมันโอเมก้า3 โปรไบโอติกส์ อาหารที่มีฤทธ์ต้านอักเสบ ได้แก่ กระเทียม น้ำส้มสายชูหมัก กล้วย อะโวกาโด ขิง มะพร้าว flaxseed หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือการแพ้ได้ ได้แก่ อาหารที่มีน้ำตาล ไขมันทรานส์ เบเกอรี่ ข้าวสาลี หอย ถั่วลิสง
ขอให้ทุกท่านมีผิวพรรณที่ดีสวยสดใสจากภายใน และสุขภาพดีมีสุขนะคะ
การดูแลรักษาด้วยวิธีธรรมชาติบำบัด
การรักษาด้วยยารักษาทางผิวหนังอย่างเดียว อาจกลับเป็นซ้ำได้บ่อย การปรับสมดุลจากภายในจึงควรทำควบคู่กันไป ดังนี้
1.พักผ่อนให้เพียงพอ นอนหลับ 7-8 ชั่วโมงต่อวัน ไม่นอนดึกเกิน4ทุ่ม
2.ออกกำลังสม่ำเสมอ การออกกำลังกายสามารถช่วยเรื่องความเครียดให้ดีขึ้น
3.มีกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด รวมทั้งสมาธิ โยคะที่ช่วยผ่อนคลาย
4.รับประทานอาหารจากธรรมชาติ อาหารที่มีไขมันโอเมก้า3 โปรไบโอติกส์ อาหารที่มีฤทธ์ต้านอักเสบ ได้แก่ กระเทียม น้ำส้มสายชูหมัก กล้วย อะโวกาโด ขิง มะพร้าว flaxseed หลีกเลี่ยงอาหารที่อาจทำให้เกิดการอักเสบหรือการแพ้ได้ ได้แก่ อาหารที่มีน้ำตาล ไขมันทรานส์ เบเกอรี่ ข้าวสาลี หอย ถั่วลิสง
ขอให้ทุกท่านมีผิวพรรณที่ดีสวยสดใสจากภายใน และสุขภาพดีมีสุขนะคะ
ติดตามบทความได้ทางช่องทางอื่น
IG @dr1chuleekorn
line ID @nom4090p
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น