วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ฺBotox ต่างจาก Filler อย่างไร

สวยปลอดภัย botox ต่างจาก filler อย่างไร


โบทอกซ์(Botox) และ ฟิลเลอร์(Filler) ในการลดริ้วรอย กระชับและปรับรูปหน้าต่างกันอย่างไร












โบทอกซ์(Botox)คือชื่อทางการค้าของ Botulinum Toxin Type A ซึ่งผลิตโดยบริษัท Allergan ประเทศสหรัฐอเมริกา ปัจจุบันมี Botulinum Toxin Type A จากประเทศอื่น ในชื่อยี่ห้อหรือชื่อทางการค้าอื่นด้วย การฉีดโบท็อกซ์(Botox)นั้นเราฉีดเพื่อ "ลด" การหดเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ทำให้ลดริ้วรอยจากการแสดงอารมณ์ได้ เช่น ลดริ้วรอยหางตาหรือรอยตีนกาในคนยิ้มเก่ง ลดริ้วรอยที่เกิดจากการขมวดคิ้ว และลดริ้วรอยบริเวณหน้าผากที่เกิดจากการเลิกคิ้วมองขึ้น นอกจากนี้เรายังสามารถใช้โบทอกซ์ (Botox )ในการลดริ้วรอยบริเวณลำคอและปรับรูปหน้าตลอดจนยกกระชับหน้าโดยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่พาดบริเวณขอบหน้ามาลำคอ การใช้โบทอกซ์(Botox)ฉีดเพื่อลดขนาดของกล้ามเนื้อบริเวณกรามสามารถปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้น

ฟิลเลอร์(Filler) คือ สารเติมเต็มที่ใช้สำหรับฉีดเพื่อ "เพิ่ม"หรือเสริมในชั้นผิวหนังหรือใต้ผิวหนังเพื่อเติมผิวบริเวณร่องลึกให้ตื้นขึ้นหรือเพิ่มในส่วนที่ขาดหายไป  เช่น เติมริมฝีปาก ร่องแก้ม เสริมคาง และในบางรายที่เมื่อเริ่มมีอายุมากขึ้นทำให้แก้มดูตอบลงก็สามารถใช้ฟิลเลอร์( Filler)ในการแก้ปัญหาแก้มตอบได้ ยังมีการนำฟิลเลอร์(Filler)มาใช้ในการบำรุงผิวให้กลับมากระชับเปล่งปลั่ง ในบริเวณใบหน้า ลำคอ หลังมือ รวมทั้งบริเวณผิวหน้าอก 

ปัจจุบันมีเทคนิคใหม่ๆที่สามารถฉีดฟิลเลอร์(Filler)เพื่อยกกระชับหน้าและปรับรูปหน้าให้เรียวขึ้นอย่างดูเป็นธรรมชาติ  การใช้เข็มปลายทู่(blunt canula)ทำให้การฉีดมีความปลอดภัยสูง เจ็บน้อยหรือแทบไม่เจ็บ โอกาสช้ำน้อยหรือไม่ช้ำเลยโดยขึ้นกับความชำนาญ เทคนิคและความละเอียดระมัดระวังของแพทย์

การฉีดโบทอกซ์(Botox)และฟิลเลอร์(Filler)ก็เหมือนหัตถการทางการแพทย์อื่นๆที่ต้องอาศัยแพทย์ที่มีความชำนาญและเลือกใช้สารที่ปลอดภัยมากกว่าการดูจากราคาและโปรโมชั่น เพื่อผลการรักษาในการได้ความสวยงามที่ปลอดภัย



ติดตามบทความได้ทางช่องทางอื่น
http://www.facebook.com/dr1chuleekorn
IG @dr1chuleekorn
line ID @nom4090p

หวัด ไม่ดีครับ

หวัด การป้องกัน อาหารเป็นยา การแพทย์ผสมผสาน สุขภาพดีมีสุข



วันนี้หมอจะมาคุยเรื่องหวัดในสไตล์การแพทย์ผสมผสานให้ฟังนะคะ

หวัด เป็น โรคที่พบได้บ่อยที่สุด เกิดจากเชื้อไวรัส เมื่อร่างกายได้รับเชื้อไวรัสก่อโรค ร่วมกับสภาวะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง เช่น เครียด พักผ่อนไม่เพียงพอก็จะเกิดโรคหวัดขึ้น 

หมอขอแบ่งโรคหวัดง่ายๆออกเป็น
1.โรคหวัดธรรมดา ก็จะมีอาการที่ทางเดินหายใจส่วนบน ได้แก่ น้ำมูกไหล คัดจมูก จาม ไอ  คออักเสบ เสียงแหบ  อาจมีไข้ต่ำๆ มีอาการปวดศีรษะหรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อค่อนข้างน้อย
2.ไข้หวัดใหญ่ จะมีไข้สูง มีอาการรุนแรงและเฉียบพลัน  และมีอาการอ่อนเพลียและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามแขน ขา และหลังได้มากกว่า มีอาการทางเดินอาหารและ มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากกว่า

อาการแทรกซ้อนที่อาจพบได้จากโรคหวัด ได้แก่ หลอดลมอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ไซนัสอักเสบ ต่อมทอนซิลอักเสบ ปอดอักเสบ สมองอักเสบ

ยารักษาหวัด จะเป็นการรักษาตามอาการ ได้แก่ ยาลดไข้ ยาลดน้ำมูกแก้คัดจมูก  ยาบรรเทาอาการไอ
นอกจากนี้ควรดื่มน้ำมากๆ พักผ่อนให้เพียงพอเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย  ในบางครั้งโรคหวัดอาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย  ซึ่งจะมีอาการแสดงได้แก่ เจ็บคอ น้ำมูกข้นและมีสีเขียวเหลือง ในกรณีนี้จะเพิ่มยาปฏิชีวนะ ซึ่งถูกเรียกด้วยความเข้าใจผิดว่า  “ยาแก้อักเสบ” ร่วมด้วย 

การป้องกันไข้หวัดใหญ่  ผู้ป่วยควรใส่ผ้าปิดปากปิดจมูกเพื่อเป็นการลดการแพร่กระจายเชื้อ นอกจากนี้มีวัคซีนสำหรับฉีดป้องกันไวรัสที่สามารถฉีดได้ปีละครั้ง แต่ไม่สามารถป้องกันไวรัสได้ทุกชนิด รวมถึงมียาต้านไวรัสที่ได้รับการแนะนำให้ใช้ในผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อซึ่งควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์

โรคหวัดในทรรศนะแพทย์แผนจีน

เชื่อว่าสาเหตุหลักคือ ลม เมื่อกระทบร่างกายที่อ่อนแอ จึงเกิดเป็นโรคหวัดขึ้น
หมอขอแบ่งง่ายๆ เพื่อความเข้าใจในการใช้อาหารเป็นยา ออกเป็น
1.หวัดลมหนาว มีอาการ กลัวหนาว ไข้ต่ำ ไม่มีเหงื่อ คัดจมูก น้ำมูกใส
   หลักการรักษา คือ ขับเหงื่อเพื่อขจัดความหนาวออกจากร่างกาย
   โดยใช้สมุนไพรรสเผ็ดอุ่น เช่น น้ำขิง อบเชย ต้นหอม ใบงาขี้ม่อน โกฐหัวบัว โกฐสอ
2.หวัดลมร้อน ไข้สูง คอแดง เจ็บคอ น้ำมูกเสมหะข้นเหลือง
   หลักการรักษา คือ ขับเหงื่อ ทำให้ร่างกายเย็นลง
   โดยใช้สมุนไพรรสเย็นหรือเผ็ดเย็น เช่น น้ำเก๊กฮวย ชาเขียวผสมน้ำตาลกรวด น้ำต้มถั่วเขียว ดอกไม้จีน    ชะเอม ใบหม่อน สะระแหน่ หัวไชเท้า

นอกจากนี้อาจใช้สมุนไพรเพื่อบำรุงลมปราณ เพื่อช่วยฟื้นฟูร่างกาย ได้แก่ เห็ดหลินจือ หวงฉี รากชะเอม ซานเอี้ยว
 
ทางการแพทย์แผนจีน มีตำรับยาสมุนไพรที่ใช้รักษาหวัดหลายตำรับ ซึ่งควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์ก่อนใช้

โรคหวัดในคัมภีร์แพทย์แผนไทย

มีบันทึกไว้ในคัมภีร์ตักศิลา ซึ่งเป็นคัมภีร์เกี่ยวกับไข้ โดยแบ่งไข้หวัดออกเป็น ไข้หวัดน้อย และไข้หวัดใหญ่ กล่าวถึงเหตุของไข้หวัดเพราะเหตุฤดู 3 ประการ คือ ฤดูร้อน ฝน และหนาว โรคที่เกิดจากต้องร้อน น้ำค้าง ละอองฝน

การรักษาทางแพทย์แผนไทยใช้ยาลดไข้ เช่น ยาจันทลีลา ยาประสะจันทร์แดง และรักษาตามอาการ
นอกจากนี้มีการใช้สมุนไพรหลายชนิดที่ใช้ในโรคหวัด ซึ่งหมอขอแบ่งง่ายๆเพื่อความเข้าใจ คือ
1.สมุนไพรรสขม ช่วยลดไข้ และฆ่าเชื้อ ได้แก่ ฟ้าทะลายโจร พลูคาว หญ้าลูกใต้ใบ บอระเพ็ด มะระขี้นก
2.สมุนไพรรสเปรี้ยว ช่วยขับเสมหะ เช่น กระเจี๊ยบแดง มะขามป้อม มะขาม มะนาว มะแว้ง
3.สมุนไพรรสเผ็ดร้อน ช่วยขับเหงื่อ ขจัดความหนาวเย็นได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ กระเทียม กะเพรา พริกไทย กระชาย โหระพา หอมแดง หอมหัวใหญ่ ดีปลี

ในความเห็นของหมอ การรักษาโรคหวัดในรายที่อาการไม่รุนแรงสามารถหายได้เองด้วยการรักษาตามอาการ แต่หลายกรณีมีอาการรุนแรงและเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ การพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาน่าจะเป็นทางที่ปลอดภัยที่สุด การใช้อาหารเป็นยาร่วมด้วยเพื่อการดูแลตนเองอย่างง่ายๆสามารถทำร่วมกันได้   แต่การใช้สมุนไพรบางชนิดที่ปกติไม่ได้รับประทานเป็นอาหารด้วยตนเองอาจมีอันตราย เพราะการใช้สมุนไพรที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ตรงโรคมีผลข้างเคียงเกิดขึ้นได้ 


ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีมีสุขนะคะ

ติดตามบทความได้ทางช่องทางอื่น
http://www.facebook.com/dr1chuleekorn
IG @dr1chuleekorn
line ID @nom4090p

.         

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

เป๊ะเว่อร์ ป่วยได้

หล่อ สวย รวย ฉลาด เป็นที่รัก สมปรารถนาในชีวิต เป็นชีวิตที่สมบูรณ์แบบ โดยเราเชื่อว่าคุณสมบัติที่เพียบพร้อมสมบูรณ์จะทำให้เรามีความสุข และเป็นที่ยอมรับของสังคม แต่ทำไมในบางคนที่ดูเหมือนมีทุกอย่างแต่กลับไม่มีความสุข

ก่อนอื่นหมอจะพามารู้จักกับลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ ( Maslow's hierarchy of needs)  


Maslow เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เป็นจำนวนมาก สามารถอธิบาย โดยใช้แนวโน้มของบุคคล ในการค้นหาเป้าหมายที่จะทำให้ชีวิตของเขา ได้รับความ ต้องการ ความปรารถนา และได้รับสิ่งที่มีความหมายต่อตนเอง โดยเขาเชื่อว่ามนุษย์เป็น "สัตว์ที่มีความต้องการ" (wanting animal) และเป็นการยากที่มนุษย์จะไปถึงขั้นของความพึงพอใจอย่างสมบูรณ์ ในทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของ Maslow เมื่อบุคคลปรารถนาที่จะได้รับความพึงพอใจ และเมื่อบุคคลได้รับความพึงพอใจในสิ่งหนึ่งแล้ว ก็จะยังคง เรียกร้องความพึงพอใจสิ่งอื่นๆ ต่อไป ซึ่งถือเป็นคุณลักษณะของมนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ที่มีความต้องการจะได้รับสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ

Maslow กล่าวว่าความปรารถนาของมนุษย์นั้น ติดตัวมาแต่กำเนิด และความปรารถนาเหล่านี้ จะเรียงลำดับขั้นของความปรารถนา ตั้งแต่ขั้นแรกไปสู่ ความปรารถนาขั้นสูงขึ้นไปเป็นลำดับดังนี้

1.ความต้องการทางกายภาพเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์  

2.ความต้องการความมั่นคงปลอดภัย 

3.ความรักและมิตรภาพ

4. ความเคารพนับถือ

5.ความสมบูรณ์ของชีวิต


ความสมบูรณ์ในชีวิตในทฤษฏีของมาสโลว์ สุขภาพดีมีสุข


 ความสมบูรณ์ในชีวิตในทฤษฏีของมาสโลว์  ไม่ใช่ "ความสมบูรณ์แบบ" แต่คือคุณธรรม ไม่ยึดมั่นถือมั่น ความสามารถในการยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นและแก้ไขปัญหาได้

อาการหลงความสำเร็จ หลงใหลความสมบูรณ์แบบ เป๊ะเว่อร์ เนี๊ยบสุดๆ พบได้ใน“คนสมบูรณ์แบบ” หรือ “มนุษย์ไม้บรรทัด” (perfectionism)
คนประเภทนี้จะจริงจัง มุ่งหาความสมบูรณ์แบบ หรือตั้งมาตรฐานในเรื่องต่างๆ สูงเกินความพอดี  คนเป๊ะเว่อร์ เนี๊ยบสุดๆ จะยอมรับความจริงในความไม่สมหวังหรือความผิดพลาดในชีวิตได้ยากกว่าคนอื่น ชีวิตที่เต็มไปด้วยไม้บรรทัด ทั้งชีวิตตัวเองและคนรอบข้างส่งผลต่อความสุขที่จะมีน้อยลงเรื่อยๆ

ข้อดี คือ ทำงานได้ดี และได้มาตรฐานสูง ข้อเสียคือ อาจส่งผลให้คนคนนั้นเครียดและอาจกลายเป็น โรคย้ำคิดย้ำทำ โรคที่มีความผิดปกติของการกิน ซึ่งรบกวนการใช้ชีวิต การทำงาน ตลอดจนความเป็นอยู่ รวมถึงคนที่อยู่ใกล้ชิด หากมีอาการหนัก ผิดหวัง จะนำไปสู่โรคซึมเศร้าและฆ่าตัวตายในที่สุด

สาเหตุของการเป็นคนสมบูรณ์แบบหรือ มนุษย์ไม้บรรทัด” (perfectionism)
อาจเป็นได้จาก
1.การอบรมเลี้ยงดูแบบเข้มงวด ชอบตัดสินและเปรียบเทียบจากพ่อแม่
2.มีวัยเด็กที่ลำบาก เจ็บป่วย หรือมาจากครอบครัวแตกแยก

การป้องกันลูกหลานไม่ให้เป็น "คนสมบูรณ์แบบ"

1.ไม่เปรียบเทียบลูกหลานกับตัวเองสมัยก่อน  ไม่เปรียบเทียบพี่กับน้อง หรือเปรียบเทียบกับญาติพี่น้อง
2.คุยกับลูกหลานให้เข้าใจธรรมดาของชีวิตว่า คนเราผิดพลาดกันได้ และมีแผนสองไว้เสมอ

เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าร่างกายและจิตใจของเรามีความเกี่ยวข้องกันอย่างลึกซึ้ง ทางการแพทย์มีการเรียกกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นโรคหรือพยาธิสภาพของร่างกายที่เป็นผลโดยตรงจากความเครียดนี้ว่า ไซโคโซมาติคหรือ Psychosomatic Disorders

ภาวะกดดันทางจิตใจ สามารถทำให้เกิดโรคหรืออาการเจ็บป่วยทางกายได้หลากหลายรูปแบบ โดยผ่านการทำงานที่แปรปรวนของระบบประสาทอัตโนมัติและฮอร์โมน ได้แก่ ปวดศีรษะไมเกรน (Migraine: Vascular Headache)  ปวดศีรษะแบบตึงเครียด (Tension-type Headache)  โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันต่างๆ (Immunological Diseases)เช่น โรคไทรอยด์ชนิดเกรฟ (Grave’s Disease)  และเอสแอลอี (SLE)  โรคปวดเรื้อรังแบบไฟโบรไมอัลเจีย (Fibromyalgia)  โรคข้อรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด (Ischemic Heart Disease)  โรคความดันโลหิตสูงไม่ทราบสาเหตุ (Essential Hypertension)  โรคแผลในกระเพาะอาหารและอาการท้องอืด (Peptic Ulcer) โรคลำไส้แปรปรวน (Irritable Bowel Syndrome) โรคหอบหืด (Asthma) โรคภูมิแพ้(Allergy)

โรคกลุ่มนี้ใช้เพียงยารักษาไม่ได้ ต้องรักษาแบบผสมผสานโดยปรับเปลี่ยน/รักษาด้านจิตใจ สังคมและการเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของผู้ป่วย(Lifestyle Medicine)ควบคู่ไปด้วย โดยปรับแนวความคิดให้ตระหนักได้ว่าคนเราผิดพลาดกันได้ ไม่ต้องดีพร้อมทุกเรื่อง แค่ทำดีที่สุด บางเรื่องเราก็ไม่สามารถควบคุมได้ดังใจต้องการ

การรักษาแบบผสมผสานอาจอาศัยผู้ที่สามารถสร้างศรัทธาให้คนไข้ แพทย์ นักจิตวิทยา โดยผ่านได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจรักษาแผนปัจจุบันหรือแพทย์ทางเลือกเพื่อการปรับสมดุลทางอารมณ์ให้ผ่อนคลายเพี่อผลการรักษาที่ดีขึ้น

ในบางครั้งเราอาจไม่ใช่"มนุษย์ไม้บรรทัด" แต่การที่ใจเราไปยึดติดกับบางสิ่งหรือเรื่องบางเรื่องก็ทำให้เกิดความเครียดตามมา ซึ่งส่งผลต่อระบบประสาทอัตโนมัติและฮอร์โมน และก่อให้เกิดอาการทางกายตามมาได้เช่นเดียวกัน  การเจริญสติทางพุทธศาสนาในแนวทางต่างๆ ได้แก่การดูลมหายใจ การเจริญสติแบบเคลื่อนไหวในแนวทางของหลวงพ่อเทียน การบริกรรมพุทโธ การสวดมนต์ การออกกำลังกาย โยคะ ชี่กง คือ วิธีออกจากวงจรความคิดที่มาจากความเครียด และทำให้เราเห็นและยอมรับความจริง นำไปสู่การแก้ปัญหา ดังที่พระพุทธเจ้าสอนเรื่องอริยสัจ4 อันเป็นแนวปฎิบัติสู่ความพ้นทุกข์
ติดตามบทความได้ทางช่องทางอื่น
http://www.facebook.com/dr1chuleekorn
IG @dr1chuleekorn
line ID @nom4090p

Reference

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

ทำอย่างไรเมื่อผิวหย่อนคล้อย

ผิวหย่อนคล้อย(sagging)

สาเหตุของผิวหย่อนคล้อย
เกิดได้ทั้งปัจจัยต่างๆ ดังนี้
1.วัยที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เซลล์ผิวสร้างคอลลาเจน อิลาสตินและไฮยารูโลนิกได้น้อยลง ผิวไม่แน่นเหมือนเดิม ความตึงกระชับยืดหยุ่นของผิวลดลง  ชั้นไขมันที่พยุงผิวลดหายไป เมื่อผิวสูญเสียคอลลาเจนและอิลาสติน ไฮยารูโลนิกตลอดจนชั้นไขมันไปตามวัย และยังถูกดึงรั้งด้วยแรงโน้มถ่วงอยู่อย่างสม่ำเสมอ ทำให้นานวันเข้าผิวก็เริ่มหย่อนคล้อย
2.น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว การลดน้ำหนักอย่างฮวบฮาบ ปัญหาผิวหย่อนคล้อยอาจตามมาได้ เพราะไขมันซึ่งเคยทำหน้าที่เป็นเบาะรองพยุงผิวไว้หายไป
3.ผิวขาดการดูแล ทั้งการทาครีมเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น การใช้ยากันแดด ตลอดจนความเครียด ขาดการพักผ่อน การดูแลเรื่องการรับประทานอาหารและดื่มน้ำ การออกกำลังกาย

สวยปลอดภัย ทำอย่างไรเมื่อผิวหย่อนคล้อย


        “ผิวหนังหย่อนคล้อย  สังเกตได้ง่ายจาก ผิวไม่แน่น รูปหน้าเปลี่ยนแปลงขอบหน้าแนวคางและลำคอเห็นแยกไม่ชัด เปลี่ยนจากVshapeเป็นออกเหลี่ยมหรือบานขึ้น  แก้มและคางที่เริ่มห้อย หนังตาและหางตาเริ่มตก ร่องแก้มและร่องใต้ตาเริ่มลึก บางส่วนของใบหน้ามีรอยบุ๋ม คอเป็นริ้วเกิดเป็นปัญหาอันเนื่องจากความหย่อนคล้อยของผิวหนัง”  

การแก้ปัญหาผิวหย่อนคล้อยทางการแพทย์โดยไม่ผ่าตัด

       1.การรักษาโดยเครื่องมือแพทย์ที่ต้องยิงหลายครั้ง ใช้หลักการเปลี่ยนพลังงานเลเซอร์ คลื่นวิทยุ คลื่นอัลตราซาวด์เป็นความร้อนเพื่อไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว พลังงานที่ส่งไปไม่ได้สูงมากจึงต้องทำการกระตุ้นหลายครั้งห่างกัน 2-4 อาทิตย์ มีหลายความยาวคลื่น ซึ่งได้ผลมากน้อยแตกต่างกันไป เหมาะกับผู้ที่มีความหย่อนคล้อยเพียงเล็กน้อย ต้องการดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดความหย่อนคล้อยมากขึ้น หรือผู้ที่มีความหย่อนคล้อยมากและได้แก้ปัญหาโดยวิธีที่เห็นผลชัดมาแล้วและต้องการการดูแลที่ต่อเนื่องเพื่อป้องกันการหย่อนคล้อย 
       2.การรักษาโดยเครื่องมือแพทย์ที่ทำครั้งเดียว และสามารถเห็นผลอยู่ได้ยาว อาศัยหลักการที่ปล่อยพลังงานสูงลงไปเพื่อกระตุ้นให้มีการสร้างคอลลาเจน ได้แก่ เทอร์มาจ(thermage)ซึ่งเป็นคลื่นวิทยุ monopolarและ อัลเทอรา(ulthera) ซึ่งเป็น focus ultrasound มีงานวิจัยที่สำรวจความพึงพอใจหลังทำไป2ปี ส่วนใหญ่ของผู้ได้รับการรักษายังพอใจอยู่ แต่การตอบสนองต่อการรักษาและความพอใจขึ้นกับสภาพปัญหา สภาพผิว และการดูแลผิวของแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทำการรักษาเพื่อการตัดสินใจที่ถูกต้องและให้เหมาะกับงบประมาณ  
      3.การแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยด้วยโบทอกซ์(Botox) ในบางครั้งความหย่อนคล้อยเกิดจากกล้ามเนื้อที่พาดบริเวณขอบหน้าและลำคอ การใช้โบทอกซ์จึงเป็นวิธีหนึ่งที่ทำการรักษาได้ ควรพบแพทย์เพื่อประเมินก่อนรักษา
      4.การแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยด้วยสารเติมเต็ม(dermal filler) บางครั้งความหย่อนคล้อยที่เกิดขึ้นเกิดจากการสูญเสียคอลลาเจน ไฮยารูโลนิก และชั้นไขมันไปเยอะ การใช้สารเติมเต็มที่ปลอดภัยตลอดจนความชำนาญในการรักษาของแพทย์ก็สามารถแก้ปัญหาความหย่อนคล้อยได้ตรงจุด
      5.การร้อยไหม ใช้หลักการคือ การใช้ไหมละลายกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นใหม่  การรักษานี้ทางการแพทย์ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ถึงผลการรักษา

     ในการเลือกการรักษาใด ควรได้รับการปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้เพื่อเลือกการรักษาที่สวยอย่างปลอดภัยโดยใช้เตรื่องมือและสารที่ปลอดภัยให้เหมาะสมกับปัญหา ความคาดหวังและงบประมาณของผู้รับการรักษา ในบางครั้งอาจต้องใช้หลายวิธีเพื่อการเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน การตัดสินใจจากโฆษณา ราคาและโปรโมชั้นไม่ใช่คำตอบของการรักษาซึ่งทำให้บางครั้งเราเสียค่าใช้จ่ายไปแต่ไม่ได้ผลลัพธ์ที่คาด ตลอดจนอาจเกิดผลข้างเคียงขึ้นได้


ติดตามบทความได้ในช่องทางอื่น
IG @dr1chuleekorn
line ID @nom4090p

หมอขา หนูนอนไม่ค่อยจะหลับค่ะ

นอนไม่หลับ (Insomnia) เป็นปัญหาความผิดปกติในการนอนที่พบได้บ่อย ไม่ใช่โรค แต่เป็นปัญหาการนอนไม่พอทำให้ตื่นมาไม่สดชื่น ถ้าเป็นเรื้อรัง ส่งผลกระทบต่อจิตใจ การงาน และความสัมพันธ์กับผู้อื่น อาจมาด้วยอาการนอนยาก ไม่ง่วงเมื่อถึงเวลานอน ใช้เวลานานจึงจะหลับ หลับไม่สนิท หลับๆตื่นๆ นอนแล้วตื่นกลางดึก ตื่นแล้วกลับไปนอนไม่ได้อีก หรือแม้จะรู้สึกอ่อนเพลียเพียงใดก็ไม่สามารถนอนหลับได้

นอนไม่หลับ สมุนไพรช่วยนอนหลับ อาหารเป็นยา สุขภาพดีมีสุข

สาเหตุของอาการนอนไม่หลับ

1.ปัญหาทางด้านอารมณ์ เช่น ภาวะตึงเครียดในชีวิต
2.การเปลี่ยนแปลงในความเป็นอยู่และสภาพแวดล้อม เช่น แสงสว่างมากเกินไป เสียงดัง อุณหภูมิร้อนเกินไป การเปลี่ยนที่นอนและการเดินทางข้ามเส้นแบ่งเวลาโลก การทำงานกะดึก
3.ปัญหาการนอนที่มาจากโรคของการนอนหลับโดยตรง เช่น การเคลื่อนไหวแขนขาที่ผิดปกติขณะหลับ การขาดลมหายใจระหว่างการนอนหลับเป็นพัก ๆ
4.ความผิดปกติทางสรีรวิทยาของผู้ป่วยที่มีความไวกว่าธรรมดา เช่น ภาวะตื่นตัวสูงและตื่นเต้นง่าย
5.โรคทางจิตเวช เช่น โรคซึมเศร้า โรคในกลุ่มกังวล โรคจิต
6.อาการเจ็บป่วยหรือความไม่สบายทางร่างกาย เช่น สมองเสื่อม ความผิดปกติของฮอร์โมน อาการปวดการไอเรื้อรัง การหายใจลำบาก การตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อย ๆ
7.การใช้ยาหรือสารบางชนิด

สาเหตุการนอนไม่หลับในทรรศนะแพทย์แผนจีน ได้แก่ การเสียสมดุลของหัวใจ ตับ ม้ามและไต ซึ่งตรงกับแผนปัจจุบันคือ เรื่องอารมณ์ อาหาร และฮอร์โมน


การรักษาอาการนอนไม่หลับ

การรักษาอาการนอนไม่หลับโดยใช้ยา มีผลข้างเคียงได้ ควรปรึกษาแพทย์
การรักษาอาการนอนไม่หลับโดยไม่ใช้ยา ได้แก่ แก้ไขสาเหตุ การนวดกดจุด การฝังเข็ม การผ่อนคลายความเครียดด้วยการออกกำลังกาย สวดมนต์ สมาธิ ดนตรีบำบัดการสะกดจิต การใช้สุคนธบำบัด การใช้อาหารเสริมพวกเมลาโทนิน

นอกจากนี้ยังอาจใช้อาหารเป็นยา โดยอาหารที่จัดเป็นสมุนไพรช่วยเรื่องนอนไม่หลับ ได้แก่ สมุนไพรvalerian ชาchamomile
สมุนไพรจีน ได้แก่ เม็ดบัว พุทราจีน ลำไย เห็ดหลินจือ
สมุนไพรไทย ได้แก่ ขี้เหล็ก ชุมเห็ดไทย มะรุม

สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(ส.ส.ส.) ยังแนะนำการใช้อาหารเป็นยาเพื่อรักษาอาการนอนไม่หลับ ดังนี้
 1. อาหารกลุ่มที่มีทริปโตเฟนสูง เมื่อรับประทานอาหารที่มีสารทริปโตเฟนสูง แล้วสารทริปโตเฟนซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็น ร่างกายจะนำเอาทริปโตเฟนไปใช้กับวิตามินบี 3 และบี 6 ในการสร้างสารเซเรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมองที่มีส่วนช่วยในกระบวนการนอนหลับ อาหารที่มีทริปโตเฟนสูง ได้แก่ ปลาทู ปลากะพง ปลาแซลมอน ไข่ ถั่วเปลือกแข็ง เมนูที่เลือกรับประทานในมื้อเย็นควรเป็นอาหารกลุ่มนี้แต่เลือกวิธีการปรุงประกอบแบบ อบ นึ่ง ย่าง เผา ดีกว่าผัดหรือทอดด้วยน้ำมัน เพราะจะทำให้ร่างกายได้รับไขมันมากเกินไป และร่างกายต้องใช้เวลาย่อยนานทำให้นอนหลับได้ยาก นอกจากนี้ ในผลไม้บางชนิดยังมีสารทริปโตเฟนสูง เช่น กล้วย กีวี แคนตาลูป สับปะรด แตงโม อาจทานเป็นอาหารว่างหลังอาหารเย็น
 2. อาหารกลุ่มที่มีสารเมลาโทนินสูง สารเมลาโทนินเป็นฮอร์โมนประเภทหนึ่งที่ใช้สร้างสารซีโรโทนิน ซึ่งจะส่งผลต่อการนอนหลับ ช่วงเวลากลางวันระดับเมลาโทนินในเลือดจะมีระดับต่ำสุด ขณะที่ช่วงเวลากลางคืน เมลาโทนินจะเริ่มถูกสังเคราะห์ขึ้นตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ จนมีระดับสูงสุดในเลืดประมาณช่วงตี 1 ถึงตี 2 อาหารที่มีสารเมลาโทนินสูงได้แก่ ข้าวโอ๊ต ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด นมสด โยเกิร์ตไม่ใส่น้ำตาล
 3. อาหารกลุ่มที่มีแร่ธาตุแมกนีเซียมสูง เนื่องจากหากร่างกายขาดแมกนีเซียมจะส่งผลต่อระบบประสาทสมองที่ช่วยในการนอนหลับ อาหารที่มีแมกนีเซียมสูง ได้แก่ ผักใบเขียว เมล็ดฟักทอง อัลมอนด์ นอกจากนี้ อาหารบางกลุ่มที่ควรหลีกเลี่ยงเนื่องจากมีสารกาเฟอีนสูง จะทำให้ระบบประสาทตื่นตัวและนอนไม่หลับ อาหารและเครื่องดื่มที่มีสารกาเฟอีนสูง ได้แก่ ชา กาแฟ น้ำอัดลม ช็อกโกแลต เครื่องดื่มชูกำลัง เครื่องดื่มแอลกอฮอล์

อย่างไรก็ตามปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับและการตอบสนองต่อการรักษาแต่ละคนอาจแตกต่างกันไป ถ้าเป็นเรื้อรังหรือมีปัญหาไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์ค่ะ

ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีมีสุขนะคะ
www.dr1wellness.blogspot.com
ติดตามบทความได้ในช่องทางอื่น
www.facebook.com/dr1chuleekorn
IG @dr1chuleekorn
line ID @nom4090p

วันพฤหัสบดีที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

วัยทอง มารู้จักวัยรวยและการดูแลด้วยแพทย์ผสมผสาน


วัยทอง หมายถึง วัยของผู้หญิงและผู้ชายที่มีอายุในช่วง 40 – 59 ปี เป็นวัยที่ต่อมไร้ท่อของระบบสืบพันธุ์เริ่มเสื่อมทำให้ผลิตฮอร์โมนเพศลดน้อยลง จนเกิดการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย และมีโอกาสเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพได้ง่าย ได้แก่ กระดูกพรุน โรคทางด้านหัวใจและหลอดเลือดในผู้หญิงจะมีอาการที่เด่นชัดกว่า เนื่องจากผู้หญิงเมื่อเข้าสู่วัยทองรังไข่จะหยุดทำงานอย่างรวดเร็ว และฮอร์โมนที่เคยมีอยู่ในระดับสูงก็จะลดลงอย่างรวดเร็วด้วย ต่างกับผู้ชายที่การทำงานของฮอร์โมนเพศชายจะลดลงแบบค่อยเป็นค่อยไป



ก่อนผู้หญิงจะเข้าสู่วัยทอง ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงเสมือนเป็นสัญญาณแจ้งเตือนล่วงหน้า คือ ประจำเดือนเริ่มมาคลาดเคลื่อน หรือมากะปริบกะปรอย และประจำเดือนขาดไปกว่า 1 ปี ก่อนจะหมดประจำเดือนอย่างถาวร
หลังจากที่ผู้หญิงเข้าสู่วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนแล้ว จะเริ่มมีอาการต่าง ๆ ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ดังนี้ ช่องคลอดแห้ง ร้อนวูบวาบ นอนไม่หลับ ผิวแห้ง ผมร่วง ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้น้อยลงทำให้อ้วนง่าย ปวดเมื่อยร่างกาย อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย ความจำเสื่อมลง บางคนมีอาการซึมเศร้าร่วม 

http://www.34-menopause-symptoms.com/early-menopause-signs-symptoms.htm
อาการวัยทอง อาหารเป็นยา การแพทย์ผสมผสาน สุขภาพดีมีสุข

วัยทองในมุมมองของแพทย์แผนไทย เชื่อว่าเกิดจากความเสื่อมของธาตุทั้งสี่ โดยสาเหตุมาจากธาตุไฟเสื่อมซึ่งตรงกับฮอร์โมนพร่อง ทำให้อาการเลือดจะไปลมจะมา และความเสื่อมของธาตุทั้งสี่

วัยทองในมุมมองของแพทย์แผนจีน เชื่อว่าเกิดจากพลังไตเสื่อม ในทางแผนจีน ไตเป็นรากฐานแห่งชีวิต อวัยวะภายใน  และหยินหยาง  อาการร้อนวูบวาบและแห้ง เกิดจากไตหยินพร่อง

การวินิจฉัยวัยทอง 

ทำได้ด้วยการดูอาการ และการวินิจฉัยด้วยการเจาะระดับฮอร์โมนในเลือด  

การดูแลเมื่อเข้าสู่วัยทอง

ทำได้ง่ายๆด้วยตนเอง โดยการดูแลเรื่องอาหาร เลี่ยงอาหารหวาน มัน เผ็ดจัด ชา  กาแฟ  แอลกอฮอล์ ออกกำลังสม่ำเสมอ พักผ่อนให้เพียงพอ ปรับสมดุลอารมณ์ผ่อนคลายความเครียด 
แพทย์จะพิจารณาให้แคลเซียม วิตามินดี  ฮอร์โมนทดแทน และอื่นๆแล้วแต่กรณีไป

พืชที่มีฤทธ์ของฮอร์โมนเพศหญิง(phytoestrogen)ที่ช่วยบรรเทาอาการวัยทอง  ได้แก่  ถั่วเหลือง ,
 flax seed,  black cohosh  นอกจากนี้ evening primrose oil มีส่วนประกอบเป็นกรดไลโนเลอิคช่วยหล่อเลี้ยงเซลล์  และ St's Johnwort เป็นสมุนไพรที่ช่วยเรื่องอารมณ์แปรปรวนและซึมเศร้า

อาหารที่แนะนำในคนวัยทองจากมูลนิธิการแพทย์แผนไทยพัฒนา ได้แก่ ปลา กล้วย ข้าวกล้อง  พืชสมุนไพรต่างๆ เช่น กระชาย(ช่วยเรื่องกระดูก) กะเพรา(อารมณ์ผ่อนคลาย การเผาผลาญ) ใบโหระพา ใบแมงลัก กระเทียม ข่า ตะใคร้ บัวบก มะกรูด ผักหวานบ้าน ผักหวานป่า ช้าพลู  มะขาม
ยาหอมอินทจักร ยาหอมเนาวโกฏ ช่วยเรื่องหงุดหงิด ใจหวิว  นอนไม่หลับ  ตำรับยาไทยที่ใช้ในหญิงวัยทองอื่นๆ  ได้แก่  ยาบำรุงโลหิต  ยาอายุวัฒนะ ยาตำรับที่มีว่านชักมดลูก ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้

โภชนบำบัดจีนที่ช่วยเรื่องวัยทอง  ได้แก่  เห็ดหูหนูขาว  เก๋ากี้ เม็ดบัว งาดำ  ตับหมู  หัวใจหมู โสมอเมริกา  ตังกุย รากบัว  ผักผลไม้สด
ยาสมุนไพรจีนที่ใช้ในวัยทอง  ได้แก่  ลิ่วเว่ยตี้หวงหวัน  จือไป๋ตี้หวงหวัน  เซียวเหยาหวัน ควรวินิจฉัยและสั่งโดยแพทย์
www.dr1wellness.blogspot.com
ติดตามบทความได้ในช่องทางอื่น
www.facebook.com/dr1chuleekorn
IG @dr1chuleekorn
line ID @nom4090p

ว่าด้วยเรื่องของติ่ง

ติ่ง 

เป็นภาษา slang ยุคใหม่หมายถึง แฟนคลับ เห็นน้องๆหลานๆใช้กัน แต่ติ่งในวันนี้ที่จะพูดถึง เป็นเรื่องของผิวหนัง 

ติ่งเนื้อสามารถเป็นได้ตั้งแต่ติ่งเนื้องอกที่ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย ได้แก่ ไฝ(mole) ติ่งเนื้องอก(skin tag) กระเนื้อ(seborrheic keratosis) หูด(warts) ติ่งนูนจากการแกะเกา(pyogenic granuloma)  ตลอดจนพวกเนื้องอกที่เป็นมะเร็งผิวหนัง จากที่เจอคนไข้มาพอมีติ่งเนื้อขึ้นหลายคนก็เริ่มกังวลว่าจะเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย

หลักการสังเกตง่ายๆว่าติ่งนั้นควรจะระวังว่าอาจกลายเป็นเนื้อร้ายจำง่ายค่ะ ABCD ได้แก่
A asymmetry  รูปร่างไม่สมมาตร
B border         ขอบของติ่งเนื้อไม่เรียบ
C colour         สีไม่สม่ำเสมอ
D diameter     โตขึ้นเร็ว

ถ้ามีความสงสัยหรือไม่สบายใจควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง  ซึ่งติ่งเนื้อที่ไม่เป็นเนื้อร้ายบางชนิดสามารถทิ้งไว้โดยไม่เป็นอันตรายได้ เป็นในแง่ความสวยงาม  ติ่งเนื้อทั้งเนื้อดีและร้ายสามารถเอาออกได้ด้วยเลเซอร์ ตัดออก หรือวิธีอื่นๆขึ้นกับความเหมาะสมซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังสามารถแนะนำได้เพื่อความสวยอย่างปลอดภัย  การไปตามร้านเสริมสวยและใช้น้ำกรดจี้ออกอาจก่อให้เกิดแผลเป็นถาวรได้ค่ะ

www.dr1wellness.blogspot.com
ติดตามบทความได้ในช่องทางอื่น
www.facebook.com/dr1chuleekorn
IG @dr1chuleekorn
line ID @nom4090p

สวยปลอดภัย ติ่งเนื้อและการกำจัด

สวยปลอดภัย ติ่งเนื้อและการกำจัด

สวยปลอดภัย ติ่งเนื้อและการกำจัด

สวยปลอดภัย ติ่งเนื้อและการกำจัด



สงสัยจัง ตจวิทยา คือ วิชาอะไร



ถ้าหมอบอกว่าหมอเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง คงไม่มีใครถามต่อ ส่วนใหญ่ก็จะนึกถึงว่าหมอคงรักษาสิว ฝ้า กระ ฉีดโบทอกซ์ ฟิลเลอร์  และเลเซอร์  บางคนอาจถามต่อว่ารักษาโรคผิวหนังด้วยไหม  แต่ถ้าหมอบอกว่าหมอเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านตจวิทยา  หลายคนคนงง  ว่าหมอคนนี้ทำอะไร  บางคนนึกไปถึงจิตวิทยาด้วยค่ะ


ตจวิทยา (dermatology) เป็นสาขาหนึ่งในวิชาแพทยศาสตร์ที่เกี่ยวกับผิวหนังและโรคผิวหนัง เป็นสาขาย่อยพิเศษทั้งทางด้านอายุรศาสตร์และศัลยศาสตร์ ตจแพทย์ดูแลผู้ป่วยที่มีโรคผิวหนังหรือปัญหาด้านความสวยความงามเกี่ยวกับผิวหนัง เช่นผิวหนัง หนังศรีษะ เส้นผม และเล็บ


โครงสร้างของผิวหนัง ตจวิทยา หมอผิวหนัง


ตจแพทย์ในประเทศไทยจะต้องจบแพทยศาสตร์บัณฑิตก่อนโดยใช้เวลาเรียนปกติคือ 6 ปี หลังจากนั้นจึงเข้าเรียนเพื่อเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง ในประเทศไทยมีหลักสูตรการอบรมแพทย์ประจำบ้าน สาขาตจวิทยาที่ต้องใช้เวลาเรียน 4 ปี


ซึ่งในปัจจุบันมีสถาบันฝึกอบรมในระดับนี้ 5 แห่ง ได้แก่

1. สาขาวิชาตจวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2. หน่วยโรคผิวหนัง ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

3.ภาควิชาตจวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล

4.แผนกผิวหนัง กองอายุรกรรม โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า

5.สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข

ในแต่ละปีจะมีแพทย์ที่จบหลักสูตรการอบรมและสอบผ่านจนได้รับ วุฒิบัตรแสดงความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม สาขาตจวิทยา จากแพทยสภา ประมาณ 20 คนเท่านั้น แพทย์ที่มีวุฒิบัตรฯ หรือ หนังสืออนุมัติฯ สาขาตจวิทยา นี้เท่านั้นที่จะเป็น Dermatologist หรือ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคผิวหนัง หรือ ตจแพทย์ ตามระเบียบของแพทยสภา และเป็นสมาชิกสามัญของสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย แพทย์ในกลุ่มนี้สามารถทำการตรวจรักษาโรคผิวหนังและดูแลปัญหาด้านผิวพรรณความงามได้ตามเกณฑ์มาตรฐาน

ตจแพทย์ใช้วิธีรักษาต่างๆหลากหลายวิธีโดยวิธีหลักๆมี


  •     การฉีดสารเติมเต็มเชิงสำอาง

  •     การกำจัดขนโดยใช้เลเซอร์หรือวิธีการอื่น

  •     การปลูกผม

  •     การบำบัดแบบ Intralesional โดยใช้สเตียรอยด์หรือเคมี

  •     การใช้เลเซอร์เพื่อการจัดการปานและความผิดปกติของผิวหนังอื่นๆ เช่นการลดสิว และลบรอยสัก  การชะลอวัย

  •    การบำบัดด้วยแสงเชิงพลวัติ ใช้สำหรับการรักษามะเร็งผิวหนังและป้องกันการเกิดมะเร็ง

  •    การบำบัดด้วยแสง โดยรวมถึงการใช้รังสีเหนือม่วงบีความถี่กว้าง ความถี่แคบ และอื่นๆ

  •    การดูดไขมัน โดยจะใช้ในการชลอวัยและการกำจัดไขมันเฉพาะจุด

  •     การผ่าตัดด้วยความเย็น สำหรับการรักษาหูด มะเร็ง และความผิดปกติอื่นๆ

  •     การรักษาด้วยรังสี

  •     การผ่าตัดโรควงด่างขาว

  •     การวินิจฉัยภูมิแพ้

  •     การบำบัดเชิงระบบ โดยใช้ยา

  •     การบำบัดเฉพาะที่


หลายคนคงงงว่าแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนังในแต่ละปีจบมาไม่มาก  แต่ไหงคลินิกผิวหนังบ้านเราเยอะมาก เนื่องจากตามกฎหมาย พ.ร.บ.วิชาชีพเวชกรรม อนุญาตให้แพทย์ที่จบมาทุกคนสามารถทำการรักษาได้ทุกโรค คลินิกที่เปิดส่วนใหญ่จะเปิดเป็นคลินิกเวชกรรมและรักษาโรคผิวหนังไปด้วย  แพทย์บางท่านก็ได้ศึกษาและอบรมต่อในคอร์สเกี่ยวกับความงามที่เปิดทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่คลินิกที่เป็นคลินิกเวชกรรมเฉพาะทางโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านผิวหนัง(ตจวิทยา)ที่ได้รับการรับรองโดยแพทยสภามีไม่มาก 

www.dr1wellness.blogspot.com
ติดตามบทความได้ในช่องทางอื่น
www.facebook.com/dr1chuleekorn
IG @dr1chuleekorn
line ID @nom4090p



มาส่องขี้ไคลกัน

ขี้ไคล

ขี้ไคล ประโยชน์และโทษ สวยปลอดภัย

วันนี้หมอจะพามาส่องค่ะ ไม่ต้องตกใจนะคะ ส่องผิวหนังค่ะ ภาพที่เห็นจะเป็นภาพที่ส่องผิวหนังผ่านกล้องจุลทรรศน์จะเห็นผิวหนังแบ่งเป็น3ชั้น  คือ  ชั้นหนังกำพร้า  ชั้นหนังแท้  และชั้นไขมัน

โครงสร้างของผิวหนัง ชั้นขี้ไคล คือ ส่วนบนสุดของหนังกำพร้า
โครงสร้างของผิวหนัง

ผิวหนังกำพร้ายังแบ่งย่อยอีกเป็น5ชั้น

การแบ่งชั้นของหนังกำพร้า


ขี้ไคล คือ หนังกำพร้าส่วนบนของผิวหนัง(stratrum corneum)ที่มีชั้นน้ำมันเคลือบผิว(sebum) ซึ่งจะลอกออกตามปกติทุกวันเมื่อหมดอายุขัย ทั้งนี้การหลุดมาเป็นขี้ไคลขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยเป็นต้นว่า สภาพแวดล้อม แสงแดด และสารเคมีที่ได้รับ ซึ่งในแต่ละเชื้อชาติอาจจะมีลักษณะขี้ไคลต่างกันไปโดยทั่วไปขี้ไคลจะมีลักษณะเป็นคราบดำ ๆ หลุดออกมาเวลาถูทำความสะอาด


ขี้ไคลยังทำหน้าที่เป็น เกราะที่คอยคุ้มครองปกป้องผิวหน้าจากฝุ่นละออง เชื้อโรคและสารเคมี ไม่ให้ซึมผ่านลงไปทำร้ายผิวได้ง่ายๆ หากเช็ด ทั้งถู ใบหน้ามากเกินไปจะทำให้สูญเสียชั้นน้ำมัน และชั้นขี้ไคล สิ่งที่เกิดตามมาก็คือผิวหน้าของคุณจะ เปราะบาง ขาดภูมิคุ้มกันตามธรรมชาติ  พบว่าคนที่ล้างหน้าบ่อย ๆ ใช้น้ำยา ใช้โทนเนอร์เช็ดหน้า มักจะมีปัญหา ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย กลายเป็นผิวบอบบางโดนอะไรนิด อะไรหน่อยก็แพ้เป็นผื่นหรือคันได้ 

ขอใหทุกท่านสวยอย่างปลอดภัยนะคะ
www.dr1wellness.blogspot.com ติดตามบทความได้ในช่องทางอื่น
www.facebook.com/dr1chuleekorn
IG @dr1chuleekorn
line ID @nom4090p